วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556


24  ธันวาคม 2556
วิชาการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษEAED2209
เวลา  11.30 - 14.00 น.

หมายเหตุ

                      ไม่มีการเรียนการสอนเนื่องจากสอบกลางภาค และดิฉันได้หาเนื้อหาเพิ่มเติม

            การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย
วิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย   มีดังนี้

                  1.   การสร้างความผูกพันรักใคร่   เป็นพื้นฐานสำคัญในการอบรมเลี้ยงดู   พ่อ แม่  ผู้ปกครองจะต้องเริ่มสร้างความผูกพันรักใคร่ให้เกิดขึ้น   ตั้งแต่เด็กยังอยู่ในวัยแรกเกิด  พ่อแม่   ผู้ปกครองได้สัมผัสลูกอย่างอ่อนโยน   อุ้มอย่างทะนุถนอม   เลี้ยงดูเอาใจใส่ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้กับเด็ก  ดูแลความสุขสบายต่าง ๆ  พูดคุยกับเด็กด้วยเสียงที่นุ่มนวล  เป็นต้น   สิ่งนี้จะเป็นพื้นฐานที่จะช่วยให้การอบรมในวัยเด็กได้ผลดี   อีกทั้งยังเป็นการสร้างความผูกพันรักใคร่ให้เกิดกับเด็กอีกด้วย

                  2.   ระบบการให้รางวัลทางด้านบวก   เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพ   เมื่อเด็กได้กระทำพฤติกรรมที่พึงปรารถนา   จะมีการให้รางวัลหรือสิ่งตอบแทน   เช่น  ความรัก  ความสนใจ  คำชมเชย  ซึ่งจะทำให้การกระทำนั้น ๆ เกิดขึ้นอีก

                  3.   พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องเป็นผู้มีศีลธรรม   ประพฤติปฏิบัติแต่ในสิ่งที่ดีงาม   และถูกต้อง

                  4.   การควบคุมสิ่งแวดล้อม   พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องจัดสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดพฤติกรรมที่พึงประสงค์   เช่น  การจัดให้เล่นเกมเพื่อเด็กจะได้รู้จักกฎเกณฑ์  และการรู้แพ้รู้ชนะ   การจัดหาหนังสือที่มีประโยชน์อ่านให้เด็กฟัง   เพื่อให้เกิดนิสัยรักการอ่าน  เป็นต้น

                  5.   วิธีการตอบสนองกลับ  เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้พูดเพื่อแสดงความรู้สึกของตนออกมาทั้งทางบวกและทางลบ  เมื่อเด็กมีปัญหาพ่อแม่ผู้ปกครองควรตัดสินใจฟังเด็กว่ากำลังพูดอะไร  เมื่อเด็กพูดจบพ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องสะท้อนความรู้สึกที่เด็กได้แสดงออกกลับไป   ด้วยคำพูดของพ่อแม่ผู้ปกครองเอง   ซึ่งจะทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองเป็นที่ยอมรับและมีคุณค่า   อันจะส่งผลให้พ่อแม่ผู้ปกครองและเด็กเข้าใจได้ตรงกัน

                  6.   การควบคุมพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์   พ่อแม่ผู้ปกครองควรควบคุมพฤติกรรมเหล่านี้ด้วยวิธีการต่าง ๆ  ที่เหมาะสมกับปัญหา  วิธีการที่ใช้ในการแก้ปัญหาได้แก่

                        6.1   การแยกเด็กออกจากกลุ่มในช่วงเวลาสั้น ๆ

                        6.2   การแยกตัวของพ่อแม่ผู้ปกครอง

                        6.3   การห้ามไม่ให้เด็กทำสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับตัวเด็กในช่วงเวลาหนึ่ง

                        6.4   การตี   จะใช้ก็ต่อเมื่อใช้วิธีการอื่นไม่ได้ผลแล้ว   ไม่ควรทำกับเด็ก  2  ขวบ  และไม่ควรกระทำอย่างรุนแรง



                  วิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่ไม่เหมาะสม

                  วิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่ไม่เหมาะสม   มีดังนี้

                  1.   การสั่งสอนไม่ควรเป็นการเทศนา   เพราะจะทำให้เด็กเบื่อ   ไม่สนใจใยดีที่จะฟัง   ดังนั้นในการอบรมเลี้ยงดูพ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องสอนด้วยเหตุผลสั้น ๆ  อย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย

                  2.   การดุด่า  ไม่ควรนำมาใช้เพราะจะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกเกลียดพ่อ  แม่  ผู้ปกครอง

                  3.   การขู่   พ่อแม่ผู้ปกครองมักใช้คำขู่เด็กเมื่อมีความโกรธหรือเด็กไม่ยอมทำตาม  หรือไม่เชื่อฟัง   ดังนั้น  ในการสอนหรืออบรมเด็กไม่ควรนำคำขู่มาใช้

                  4.   การพูดเสียดสี  เหน็บแนม  หรือ  ถากถาง  ที่พ่อแม่ผู้ปกครองประสงค์ทำเพื่อประชดหรือให้เด็กได้เจ็บโดยหวังว่าเด็กจะมีพฤติกรรมที่ดีขึ้น  แต่ในข้อเท็จจริงแล้วกลับกลายเป็นการทำลายสัมพันธ์ภาพระหว่างพ่อแม่ผู้ปกครองกับเด็ก

                  5.   การสัญญา   สัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่ผู้ปกครองและเด็ก   ควรอยู่บนพื้นฐานของความ  เชื่อถือ  เชื่อใจซึ่งกันและกันไม่ใช่การสัญญา

                  6.   การติดสินบน    จะทำให้เด็กทำดีเพียงชั่วครู่เท่านั้น  แต่ในระยะยาวแล้วจะไม่ได้ผล  เพราะไม่สามารถติดตัวเด็กเป็นนิสัยได้

                  7.   การหลอกหรือหยอกล้อเด็กในทางที่ไม่ควร  เพื่อหวังผลให้เด็กหยุดพฤติกรรมที่กำลังทำอยู่   หรือเพื่อความสนุกสนาน  นอกจากจะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกกลัวโดยไร้เหตุผลแล้ว   ยังเป็นการขัดขวางความอยากรู้อยากเห็นของเด็กอีกด้วย

                  บทบาทของพ่อแม่   ผู้ปกครองในอบรมการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย

                  พ่อแม่   ผู้ปกครองนอกจากจะเลี้ยงดูเด็กให้มีร่างกายแข็งแรง  ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วยังจะต้องมีการพัฒนาทางจิตใจ   และทางสังคมในเชิงจิตวิทยาให้กับเด็กด้วย   บทบาทของพ่อแม่   ผู้ปกครองในการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย  มีดังนี้

                  1.   การตอบสนองความต้องการพื้นฐานของเด็กอย่างเพียงพอ   ซึ่งความต้องการพื้นฐานของเด็กแต่ละวัยไม่เหมือนกัน    เด็กแรกเกิดจะมีความต้องการทางร่างกายมาก   ดังนั้นพ่อแม่ควรดูแลเรื่องอาหารการกิน   การนอน   การขับถ่าย   และเมื่อเด็กโตขึ้นควรให้ความมั่นคงปลอดภัย   ความอบอุ่นและความรัก

                  2.   การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมการพัฒนาการของเด็ก   ซึ่งได้แก่   การจัดให้เด็กได้พบกับสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาของเด็ก   การเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กเลียนแบบ  เป็นต้น

                  3.   การยอมรับในสิทธิของความเป็นคนของเด็ก   การอบรมเลี้ยงดูเด็กของพ่อแม่   ผู้ปกครองมักจะมี  2  แบบ  (ฉวีวรรณ  กินาวงศ์. 2533 :  88-91)  คือ 1)  แบบอัตตาธิปไตยหมายถึง  การที่พ่อแม่ผู้ปกครองใช้กฎเกณฑ์ตายตัวและทำทุกอย่างตามกฎเกณฑ์เด็กที่ทำผิดมักจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง  และ  2)  แบบประชาธิปไตย  คือ  การอบรมเลี้ยงดูเด็กอย่างมีเหตุผล  ให้เด็กมีสิทธิเสรีภาพการยอมรับในสิทธิความเป็นคนของเด็ก



                  ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวและผลต่อพฤติกรรมของเด็ก

                  ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวและผลต่อพฤติกรรมของเด็ก  มีลักษณะ  ดังนี้

                  1.   ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและแม่  หมายถึง  บทบาทของพ่อแม่ของเด็กในฐานะคู่สมรสจากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ที่มีต่อพฤติกรรมของเด็กเป็นดังนี้  (ฉวีวรรณ  กินาวงศ์. 2533 :  84)

                        1.1   ครอบครัวที่เรียกว่า  บ้านแตก”  (Broken  Home)   ซึ่งได้แก่  ครอบครัวที่พ่อแม่หย่าร้างกัน   หรือแยกกันอยู่   จะทำให้เด็กมีปัญหาในเรื่องของการปรับตัวและทำให้เด็กมีพฤติกรรมเกเร  มีปมด้อย  เป็นโรคประสาท

                        1.2   ครอบครัวที่พ่อแม่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับชีวิตสมรสได้ดี  เช่น   ทะเลาะกันบ่อย ๆ  จะทำให้เด็กมีปัญหาได้

                        1.3   ครอบครัวที่พ่อแม่ไม่มีเวลาให้แก่เด็ก   จะทำให้เด็กรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง   ขาดความรักและความเอาใจใส่  อาจส่งผลให้เด็กมีบุคลิกลักษณะไม่ดีเท่าที่ควร

                        1.4   เด็กกำพร้า  เช่น  พ่อแม่เสียชีวิต  หรือแต่งงานใหม่  จะส่งผลต่อการปรับตัวของเด็กเป็นอย่างมาก

                        1.5   ครอบครัวที่มีบรรยากาศเป็นกันเอง   พ่อแม่รักใคร่กันดี  จะช่วยให้เด็กเจริญเติบโตไปในทางที่ดีและเด็กจะไม่มีปัญหา

                  2.   ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก   หมายถึง  ความรู้สึกที่พ่อแม่มีต่อลูกและความรู้สึกที่ลูกมีต่อพ่อแม่   ความสัมพันธ์แบบนี้มักจะขึ้นอยู่กับเจตคติของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ทั้งนี้เพราะพ่อแม่มีเจตคติต่อลูกอย่างไร  ก็จะปฏิบัติต่อลูกอย่างนั้น ซึ่งแบ่งออกเป็น          6  แบบ  ดังนี้  (ฉวีวรรณ  กินาวงศ์. 2533 :  84-87)

                        2.1   พ่อแม่รักและคอยช่วยเหลือเอาใจใส่ลูกมากเกินไป   ผลที่พ่อแม่ตามใจเด็กมากเกินไป  ทำให้เด็กต้องพึ่งพาผู้อื่นตลอดเวลา  เด็กไม่กล้าทำอะไรเอง   ตัดสินใจอะไรตามลำพังไม่ได้  เมื่อเข้าโรงเรียนจะประสบปัญหายุ่งยากต่าง ๆ

                        2.2   พ่อแม่เอาใจลูกมากเกินไป  พ่อแม่ประเภทนี้จะตามใจลูกและยอมลูกทุกอย่างต่อไปเด็กพวกนี้จะเป็นคนที่ดื้อรั้น  ไม่ยอมฟังผู้ใหญ่   และเอาแต่ใจตนเอง

                        2.3   พ่อแม่ที่ทอดทิ้งเด็ก  พ่อแม่ประเภทนี้จะไม่เอาใจใส่เด็ก   ไม่คำนึงถึงสวัสดิภาพของเด็ก   ผลของการที่พ่อแม่ทิ้งเด็กมากเกินไปจะทำให้เด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าว   ชอบเรียกร้องความสนใจ  ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน   ชอบทะเลาะกับเพื่อนฝูงอยู่เสมอ  หรือเป็นเด็กที่ยอมแพ้ผู้อื่น  ขี้อาย  ขลาดกลัว  และมีอารมณ์ที่ไม่มั่นคง

                        2.4   พ่อแม่ยอมรับเด็ก  พ่อแม่ประเภทนี้จะยอมรับและเห็นความสำคัญของเด็กทำให้เด็กเกิดความอบอุ่น  ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และเด็กเป็นไผปอย่างราบรื่น

                        2.5   พ่อแม่ที่ชอบบังคับลูก  พ่อแม่ประเภทนี้จะให้เด็กทำตามทุกอย่าง  เด็กจะมีพฤติกรรมทางสังคมดี   มีสัมมาคารวะมากกว่าเด็กที่พ่อแม่ปล่อยให้เป็นอิสระ   แต่อย่างไรก็ตามเด็กพวกนี้จะเป็นคนขี้อาย  มีความรู้สึกไวต่อสิ่งที่มากระทบกระเทือน  มีปมด้อย  ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น

                        2.6   พ่อแม่ยอมจำนนต่อลูก   พ่อแม่ประเภทนี้จะยอมให้ลูกเป็นใหญ่   มีสิทธิภายในบ้านลูกต้องการอะไรพ่อแม่จะหามาให้ทั้งสิ้น   จะทำให้ลูกทำตัวเป็นนายข่มพ่อแม่   ไม่ค่อยเคารพนับถือพ่อแม่เท่าที่ควร

การพัฒนาการและความพร้อม  :  ด้านร่างกายอารมณ์ จิตใจ   และสังคม
                  ความพร้อมทางการเรียน  หมายถึง  สภาพความพร้อมในด้านร่างกาย  สังคม  อารมณ์ จิตใจ  และสติปัญญาของเด็กที่จะเรียนรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้อย่างบังเกิดผล  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะ  หรือ  การฝึกฝนหรือทั้งสองอย่างประกอบกันก็ได้
  
พัฒนาการและความพร้อมทางด้านร่างกาย
                  จุดมุ่งหมายของการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกาย

                  การจัดประสบการณ์หรือการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายให้แก่เด็กในระดับชั้นอนุบาลศึกษา    มีจุดมุ่งหมาย  ดังนี้   (สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. 2537ก : 3)

                  1.   มีร่างกายเจริญเติบโตตามวัย

                  2.   พัฒนากล้ามเนื้อและประสาทสัมพันธ์

                  3.   มีสุขนิสัยในการรักษาสุขภาพอนามัย

                  4.   เรียนรู้การระวังและรักษาความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น


                  โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า  จุดมุ่งหมายของการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายเพื่อต้องการให้เด็กมีร่างกายแข็งแรง  สมบูรณ์   มีน้ำหนัก  ส่วนสูงตามเกณฑ์ที่กำหนด   สามารถใช้กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กได้   ไม่ว่าจะเป็นการเดิน   การวิ่ง  การกระโดด  ใช้มือรับสิ่งของ  ตัดกระดาษ   วาดภาพ   หรือใช้เชือกร้อยวัสดุขนาดเล็ก ใหญ่ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น