12 พฤศจิกายน 2556
วิชาการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ EAED2209
เวลา 11.30 - 14.00 น.
เด็กที่มีความต้องการพิเศษ
ความหมาย
1.ทางการแพทย์ มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า “
เด็กพิการ ” sหมายถึง เด็กที่ผิดปกติ
มีความบกพร่องสูญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา
2.ทางการศึกษา
เด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง เด็กที่มีความต้องการศึกษาเฉพาะของตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติ
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ แบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่
1.เด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
2.เด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
กระทรวงศึกษาธิการได้แบ่งออก 9 ประเภท
1.
เด็กบกพร่องทางสติปัญญา
2.
เด็กบกพร่องทางการได้ยิน
3.
เด็กบกพร่องทางการเห็น
4.
เด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5.
เด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
6.
เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
7.
เด็กบกพร่องทางการเรียนรู้
8.
เด็กออทิสติก
9.
เด็กพิการซ้อน
เด็กบกพร่องมางสติปัญญา Children with
Lntellectual Disadilities หมายถึง
เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ มี 2 กลุ่ม
คือ เด็กเรียนช้าและเด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า
· สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
· เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
· ขาดทักษะในการเรียนรู้
· มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
· มีระดับสติปัญญา (IQ)
สาเหตุของการเรียนช้า
ภายนอก
· เศรษกิจของครอบครัว
· การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
· สภาวะด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
ภายใน
· พัฒนาการ
· การเจ็บป่วย
เด็กปัญญาอ่อน
· เด็กที่มีภาวะพัฒนาการหยุดชะงัก
· แสดงลักษณะเฉพาะ คือ มีระดับสติปัญญาต่ำ
· มีความสามรถในการเรียนรู้น้อย
· มีความจำกัดทางด้านทักษะ
· มีพัฒนาการทางกายล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
· มีความสารถกำจัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
· ไม่พูดหรือพูดได้ไม่สมวัย
· ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
· ความคิดและอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
· ทำงานช้า
· รุนแรง ไม่มีเหตุผล
· อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ
เด็กบกพร่องทางการได้ยิน หมายถึง
เด้กที่มีความบกพร่องหรือสูญเสียการได้ยินเป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่างๆได้ไม่ชัดเจนมี
2 ประเภท
1.เด็กหูตึง หมายถึง
เด้กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินระหว่าง 26-40
Db
· จะมีปัญหาในการับฟังเสียงเบาๆ
2.เด็กหูตึงระดับปานกลาง
ได้ยินระหว่าง 41-55 Db
· เด็กจะมีปัญหาในการับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติ
· จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
· มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย
3.เด้กหูตึงระดับมาก ได้ยินระหว่าง
56-70 Db
· เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
· มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
· มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
· พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางนไม่พูด
4.เด้กหูตึงระดับรุนแรง
เด็กจะมีปัญหาในการรับฟัง
ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หู
การพูดคุยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
เด็กหูหนวก
· เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดดอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
· ไม่เข้าใจหรือใช้ภาพูดได้
· ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 Db ขึ้นไป
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
· ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี
· ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
· พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
· พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
เด็กบกพร่องทางการเห็น
· เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง
· มีความบกพร่องทางสายตา
· สามารถเห็นได้ถึง 1/10 รองสายตาปกติ
เด็กตาบอด
· เด็กที่ไม่สามารถมองเห็น
· ต้องใช้ประสาทสัมผัสในการเรียนรู้
· มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท
· เด็กที่มีความยกพร่องทางสายตา
· สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
· เดินงุ่มง่าน ขนและสะดุดวัตถุ
· มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
· มักบ่นว่าปวดศรีษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น